วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ชาร์ลส์ ดาร์วิน อาจจะไม่เคยเห็นหมี......

จาก ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ(theory of natural selection)ชาร์ลส์ ดาร์วิน
1. สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันย่อมแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย เรียกว่า variation
2. สิ่งมีชีวิตมีลูกหลานจํานวนมากตามลําดับเรขาคณิต แต่สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดก็มี จํานวนเกือบคงที่ เพราะมีจํานวนหนึ่งตายไป
3.สิ่งมีชีวิตจําเป็นต้องมีการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด (struggle of existence) โดยลักษณะ ที่แปรผันบางลักษณะ ที่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม ย่อมดํารงชีวิตอยู่ได้ และสืบพันธุ์ถ่ายทอด ไปยังลูกหลาน
4.สิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมที่สุดเท่านั้นที่อยู่รอด(survival the fittest ) และดํารง เผ่าพันธุ์ของตนไว้และทําให้เกิด การคัดเลือกตามธรรมชาติเกิดความแตกต่าง ไปจากสปีชีส์เดิมมากขึ้นจนเกิดสปีชีส์ใหม่ สิ่งมีชีวิตที่จะอยู่รอด ไม่จำเป็นต้องเป็น สิ่งมีชีวิต ที่แข็งแรงที่สุด แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมมากที่สุด
อ่านข้อ 3 แล้วนึกเถียงดาร์วินอยู่ในใจ เพราะคิดถึงสัตว์ตัวนึง ที่อ่อนแอมาก และไม่เห็นมันต่อสู้ ปรับตัวอะไร แต่มันก็อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือ
“หมีแพนด้า”

หมีแพนด้า เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์หมี (Ursidae) ถิ่นอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน อาหารโปรดของแพนด้ายักษ์คือใบไผ่ นอกนั้นจะเป็นหญ้าชนิดอื่น ๆ ลักษณะเฉพาะของแพนด้ายักษ์คือมีขนสีดำรอบดวงตา, ใบหู, บ่า และขาทั้งสี่ข้าง ส่วนอื่นประกอบด้วยขนสีขาว แพนด้าเป็นสัตว์สปีชีส์ที่ถูกคุกคามหรืออยู่ในอันตรายต่อการสูญพันธ์ ทั้งนี้มาจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่จากการบุกรุกของมนุษย์ อัตราการเกิดต่ำทั้งในป่าและในกรงเลี้ยง เชื่อว่ามีแพนด้ายักษ์เพียง 1,600 ตัว อาศัยอยู่รอดในป่า....
จากลักษณะของแพนด้า ที่ตัวใหญ่ เดินช้า ไม่มีเขี้ยวเล็บ วันๆก็กินกับนอน สู้ใครก็ไม่ได้ ก็น่าจะสูญพันธ์อยู่หรอกนะ แต่เนื่องจากความน่ารักน่าเอ็นดู จึงได้รับการปกป้องจากมนุษย์ ซึ่งถ้ามนุษย์ยังอยู่ มันคงไม่สูญพันธ์ง่ายๆ......
สัตว์อื่นๆ วิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอดกันด้วยความยากลำบาก ยีราฟต้องค่อยๆวิวัฒนาการให้คอยาว เพื่อให้กินใบไม้บนยอดสูงๆได้ นกต่างๆวิวัฒนาการจะงอยปากให้เหมาะกับอาหารที่กิน แต่แพนด้า แค่ทำตัวน่ารัก ก็อยู่รอดได้ บร๊ะ!
ซึ่งเหตุผลที่มันอยู่รอด ก็จะไปตรงกับข้อ 4.สิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมที่สุดเท่านั้นที่อยู่รอด(survival the fittest ) มันเหมาะสมที่จะอยู่ร่วมกับมนุษย์ เพราะมนุษย์เห็นว่ามันน่ารัก สัตว์อื่นที่ไม่น่ารัก พวก ยุง หนูท่อ ตุ๊กแก แมลงวัน ต้องต่อสู้ดิ้นรน เพื่อให้อยู่รอด เพราะมนุษย์นอกจากไม่คิดจะเก็บสัตว์เหล่านี้ไว้ ยังจะไปไล่กำจัดมันอีกต่างหาก
สรุปว่า ผมไม่เห็นด้วยกับ ข้อ3. เพราะสัตว์อย่างหมีแพนด้า ไม่ต้องดิ้นรนก็อยู่รอดได้ เข้าใจว่าตอนที่ชาร์ลส์ ดาร์วิน คิดทฤษฎีขึ้นมา เค้าไปศึกษาบรรดาสัตว์ที่กาลาปากอส ไม่ใช่เมืองจีน ก็เลยไม่ได้เห็นหมี..แพนด้า 🙂
ขอบคุณวิชาชีววิทยา: http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/BP1/Program/chapter2/p2.html

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ความแตกต่างระหว่างมืออาชีพกับมือสมัครเล่น

ได้อ่าน บทความนี้ แล้วรู้สึกน่าสนใจจริงๆ ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับหลายๆคน เลยแปลมาให้ทุกคนได้อ่านกัน



ทุกวันเวลา 8 โมง
ฤดูร้อนที่แล้ว ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ Todd Henry ,Todd เป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จและสร้างผลงานที่มีคุณค่าได้อย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่ผม สร้างผลงานที่น่ากังขาและยังไม่สม่ำเสมอ และผมก็ได้อธิบายกับ Todd
"Todd คุณคิดยังไงกับการเขียนเฉพาะเวลาตอนที่คุณมีอารมณ์อยากจะเขียน? ผมรู้สึกว่าผมจะทำได้ดีที่สุด ก็ต่อเมื่อมีอารมณ์สร้างสรรค์ หรือตอนมีแรงบันดาลใจ ซึ่งนานๆจะมีซักที ผมเขียนเฉพาะตอนที่อยากทำเท่านั้น ซึ่งก็แปลว่าผมทำได้ไม่สม่ำเสมอ แต่ถ้าผมเขียนตลอดเวลา มันก็ทำให้ผมเขียนออกมาไม่ดี"
Todd ตอบว่า "เยี่ยมไปเลย ผมก็เขียนเฉพาะเวลาผมมีอารมณ์ มีแรงบันดาลใจเหมือนกันแต่ผมบังเอิญมีอารมณ์และแรงบันดาลใจทุกวันตอน 8 โมง"

ความแตกต่างระหว่างมืออาชีพกับมือสมัครเล่น
มันไม่สำคัญว่าคุณอยากจะทำอะไรให้ดีขึ้น  ถ้าคุณจะทำงานเมื่อคุณมีแรงบันดาลใจเท่านั้น คุณก็จะไม่มีทางเป็นคนที่มั่นคงพอที่จะเป็นมืออาชีพ ความสามารถที่จะไปที่ทำงานทุกวัน ทำงานตามตารางเวลาและมุ่งทำงาน - โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณไม่ได้รู้สึกอยากจะทำ นั้นมีคุณค่ามากเพราะมั้นคือสิ่งจำเป็นที่ต้องมีในการทำงานให้ดีขึ้น
ผมเคยเห็นจากประสบการณ์ของผมเอง ...
เมื่อตอนที่ผมไม่พลาดการออกกำลังกาย ผมมีรูปร่างที่ดีที่สุดในชีวิตของผม เมื่อผมเขียนทุกสัปดาห์ ก็ทำให้ผมเป็นนักเขียนที่ดีขึ้น เมื่อผมเดินทางและใช้กล้องของผมทุกวันผมก็จะถ่ายภาพดีขึ้น
มันเป็นเรื่องจริงที่ทุกคนรู้ แต่ทำไมมันจึงทำได้ยากเย็นนัก?

ความเจ็บปวดของการเป็นมืออาชีพ 
การเดินทางสู่จุดหมายของคุณ ไม่ว่าจะเป็นอะไร รวมทั้งการมีทัศนคติของมืออาชีพไม่ใช่เรื่องง่าย ในความเป็นจริงการเป็นมืออาชีพเป็นความเจ็บปวด เรื่องของเรื่องก็คือ เวลาส่วนใหญ่ของเรามีความไม่สม่ำเสมอ เรามีเป้าหมายที่เราต้องการที่จะประสบความสำเร็จและความฝันที่เราต้องการที่จะเติมเต็ม แต่เราเดินไปสู่เป้าหมายนั้นแค่นานๆครั้งเท่านั้น เราทำเมื่อเรารู้สึกว่ามีแรงบันดาลใจหรือแรงกระตุ้นหรือเมื่อชีวิตให้โอกาสให้เราทำ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายสำหรับเรา

ผมรับประกันว่าถ้าคุณตั้งตารางเวลาสำหรับงานใด ๆ และเริ่มทำตาม มันจะมีวันที่คุณรู้สึกว่าอยากเลิก เมื่อคุณเริ่มต้นธุรกิจจะมีวันที่คุณรู้สึกไม่อยากเจอหน้าใคร เมื่อคุณอยู่ที่ฟิตเนส จะมีเวลาที่คุณไม่อยากเล่นจนจบ หรือเมื่อถึงเวลาที่จะเขียน ก็จะมีอาการที่คุณไม่อยากจะแตะคีย์บอร์ด แต่การก้าวข้ามความรำคาญหรือเจ็บปวดในการทำสิ่งเหล่านั้น เป็นสิ่งที่จะทำให้คุณเป็นมืออาชีพ

มืออาชีพทำตามตารางเวลา, มือสมัครเล่นใช้ชีวิตไปตามยถากรรม มืออาชีพรู้ว่าอะไรสำคัญสำหรับเขาและทำมันอย่างมีจุดหมาย มือสมัครเล่นถูกกำหนดชะตาด้วยความเร่งด่วนของชีวิต

คุณจะไม่มีวันเสียใจในการเริ่มต้นทำงานที่สำคัญ
บางคนอาจจะคิดว่าผมชี้ให้เห็นประโยชน์ของการเป็นคนบ้างาน "มืออาชีพทำงานหนักกว่าคนอื่นและนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยอดเยี่ยม" จริงๆแล้วไม่ใช่เลย
การเป็นมืออาชีพเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมีวินัยที่จะกระทำสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณแทนที่จะเป็นเพียงการพูดอะไรบางอย่างที่สำคัญกับคุณ มันเกี่ยวกับการเริ่มทำเมื่อคุณอยากหยุด ไม่ใช่เพราะคุณต้องการที่จะทำงานมากขึ้น แต่เพราะเป้าหมายของคุณคือสิ่งที่สำคัญมากพอที่จะให้คุณไม่ทำงานเฉพาะตอนที่สะดวก การเป็นมืออาชีพเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำให้การจัดลำดับความสำคัญของคุณเป็นจริง

มีหลายท่าออกกำลังกายที่ผมไม่อยากทำ แต่ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจที่ออกกำลังกาย มีบทความจำนวนมากที่ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะเขียน แต่ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจที่ออกเผยแพร่ตามตาราง มีหลายวันที่ผมอยากจะพักผ่อน แต่ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจที่เลือกทำงานในสิ่งที่มีความสำคัญกับผม

การเป็นมืออาชีพไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเป็นคนบ้างาน  มันหมายความว่าคุณเก่งในด้านการใช้เวลาทำสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณไม่ได้รู้สึกอยากทำ แทนที่จะต้องเป็นเหยื่อของโชคชะตาที่ชีวิตจะกระทำกับคุณ

วิธีการเป็นมืออาชีพ
การทำงานของคุณอย่างมืออาชีพไม่ได้เป็นเรื่องง่าย แต่ก็ไม่ซับซ้อนหรือยากอย่างที่คุณอาจคิด มีสามขั้นตอนดังนี้
1 ตัดสินใจว่าคุณต้องการจะเก่งในเรื่องใด
วัตถุประสงค์คือทุกอย่าง ถ้าคุณรู้ว่าสิ่งที่คุณต้องการคืออะไร ที่เหลือมันก็เป็นเรื่องง่าย เรื่องนี้เหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ประสบการณ์ของผมแม้แต่คนที่มีฉลาด มีความคิดสร้างสรรค์และมีพรสวรรค์ แทบจะไม่ทราบว่าพวกเขากำลังทำอะไรและทำไม

2 ตั้งระยะเวลาในการกระทำของคุณ
เมื่อคุณรู้ในสิ่งที่คุณต้องการ ก็กำหนดระยะเวลาในการทำให้เป็นจริง
หมายเหตุ: อย่าทำผิดพลาดเหมือนที่ผมได้ทำมาซึ่งเป็นกำหนดการบนพื้นฐานของผลลัพธ์  อย่าตั้งแผนที่จะลดน้ำหนักเท่าใดใน1สัปดาห์ หรือเงินเท่าไรที่คุณจะทำได้ การตั้ง "ลดน้ำหนัก 5 กก." ไม่ใช่การกระทำที่คุณสามารถทำได้  แต่ การตั้ง "ทำ squats 3 ชุด" เป็นการกระทำที่คุณสามารถทำได้
คุณต้องกำหนดตารางเวลาให้ขึ้นอยู่กับการกระทำที่คุณสามารถทำได้ ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่คุณต้องการ

3 ทำตามตารางเวลาของคุณเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
หยุดคิดว่ามันยากที่จะทำตามตารางเวลาเป็นเดือนหรือปี เพียงทำตามมันสำหรับสัปดาห์นี้ สำหรับ 7 วันข้างหน้าไม่ให้มีอะไรรบกวนได้ การตั้งตารางเวลาไม่ได้ทำให้คุณเป็นมืออาชีพ แต่มันคือการทำตามอย่างเคร่งครัด อย่าเป็นนักเขียน แต่จงเขียน อย่าเป็นนักยกน้ำหนัก แต่จงยกน้ำหนัก  ใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ทำในสิ่งที่คุณต้องการจะทำโดยไม่ให้อย่างอื่นในชีวิตมาขัดขวาง แล้วสัปดาห์ถัดไป ค่อยเริ่มต้นอีกครั้ง

แล้วในโลกแห่งความจริงเป็นอย่างไร?
มี 2 ตัวอย่างที่แสดงถึงวิธีการของผมในการพยายามเป็นมืออาชีพในขณะนี้ สามารถเอาไปลองได้ ถ้าคุณกำลังมองหาวิธีการทำงานให้ดีขึ้นอย่างมืออาชีพ

วิดพื้น - ผมตั้งใจจะวิดพื้นให้ได้ 100 ครั้งติดต่อกัน ผมเริ่มต้นเมื่อ 5 เดือนก่อน และตอนนี้ผมทำได้ 36 ครั้ง ติดต่อกัน ตารางเวลาของผมคือการวิดพื้นทุกวันจันทร์พุธและศุกร์ นอกจากช่วงสั้น ๆ ในขณะที่ผมกำลังเดินทางไปรัสเซียและตุรกี ผมไม่ได้พลาดการออกกำลังกายแม้แต่วันเดียวในระยะเวลา5เดือน

การเขียน - ที่ผมกล่าวถึงในตอนต้นของบทความนี้ ผมได้ต่อสู้กับการทำตามตารางเวลาของการเขียนอย่างสม่ำเสมอในอดีตที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ผมมีตารางที่ได้ผล และผมวางแผนที่จะทำตามมัน

ตารางเวลาง่ายๆ: เผยแพร่บทความใหม่ทุกวันจันทร์และวันพฤหัสบดีในเว็บไซต์นี้ ผมได้ปฏิบัติตามตารางเวลา 8 สัปดาห์จนถึงตอนนี้ มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของการมุ่งสู่การเป็นมืออาชีพ

คุณไม่ได้อยู่ตามลำพัง
ทุกคนมีการเดินทางเป็นของตัวเอง แต่คุณไม่ได้ที่จะเผชิญกับความเจ็บปวดของการเป็นมืออาชีพทั้งหมดด้วยตัวเอง
แสดงความคิดเห็นด้านล่างและบอกผม
คุณต้องการที่จะเป็นมืออาชีพในด้านไหนในชีวิต? อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณ?

อ่าน version ภาษาอังกฤษได้ที่  http://jamesclear.com/professionals-and-amateurs

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

ร่วมมือกัน จัดระเบียบทุกอย่าง ด้วย Trello

"การทำงานเป็นทีม" เป็นปัญหากับคนไทยมาเนิ่นนาน แม้ว่าในระดับบุคคล คนไทยจะมีความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่พอเป็นการทำงานเป็นทีม เรากลับทำได้ไม่ดี ตัวอย่างง่ายๆอย่างเช่นกีฬา ในประเภทบุคคล เรามีนักกีฬาระดับโลกหลายคน แต่พอเป็นทีม มักจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไร

สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งของการทำงานร่วมกันก็คือ การสื่อสาร (communication) หากไม่มีการสื่อสารที่ดี เราจะไม่รู้เลยว่า เพื่อนร่วมทีมของเราติดปัญหาอะไรหรือเปล่า งานที่ได้รับมอบหมายเรียบร้อยดีไหม หรือสถานะของงานตอนนี้เป็นอย่างไร การสื่อสารที่ดีในทีม ทำให้ทีมทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

วันนี้อาจารย์จะมาแนะนำเครื่องมือ สำหรับช่วยในการทำงานร่วมกัน (Collaboration tool)  ชื่อว่า Trello ซึ่ง slogan ของ Trello ก็คือ "Organize anything, together" หรือแปลเป็นไทยว่า "ร่วมมือกัน จัดระเบียบทุกอย่าง"
เจ้า Trello นั้น มี concept ง่ายๆก็คือ เหมือนนำกระดานมาไว้ใน computer และให้คนแปะๆ Post it ลงในกระดาน หากมีการเปลี่ยนแปลงสถานะ ก็ย้ายกระดาษไปอีกช่อง หรือเขียนอะไรเพิ่มเติมลงไปใน Post it 
ดังตัวอย่างในรูป

รูปตัวอย่างโครงการจัดครัวใหม่

คุณสมบัติของ Trello
1. สามารถเชิญเพื่อนมาร่วมใช้บอร์ด โดยเพื่อนๆสามารถที่จะแก้ไข โยกย้าย ใส่ความเห็น ใส่รูป และอืนๆ

2. แสดงให้เห็นความเคลื่อนไหว หากมีการเปลี่ยนแปลง แบบ real-time โดยไม่ต้อง refresh browser

3. ช่วยให้คุณไม่ตกข่าวสารสำคัญ ด้วยการเตือนด้วย email 

4. สามารถรวบรวมความเห็นจากสมาชิกของบอร์ด เช่นเมื่อต้องการการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ

5. สามารถมอบหมายงานไปยังบุคคลได้ ช่วยให้ทราบว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบงานนั้นๆ

6. ทุกอย่างอยู่ในที่เดียว ทำให้ไม่เกิดความสับสน 

หากใครเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ก็สบายใจได้ เพราะ Trello ใช้ SSL/HTTPS เทคโนโลยีเดียวกับที่ธนาคารใช้ และจุดเด่นอีกอย่างก็คือ ถูกออกแบบมาให้รองรับหน้าจอทุกขนาด และยังมี App สำหรับ smartphone, tablet อีกด้วย

วีดีโอแนะนำการใช้งาน Trello


หลังจากที่ลองใช้ Trello มาหลายเดือน พบว่า ในตอนแรกที่ใช้ ไม่ค่อยเข้าใจหลักการทำงานเท่าไร แต่ใช้ไปสักระยะ และลองปรับให้เข้ากับการทำงานของเรา สามารถช่วยทำให้การสื่อสารในทีมดีขึ้น ทำให้คนในทีมมองเห็นภาพเดียวกันได้ทุกที่ ทุกเวลา เพราะคนในทีมสามารถเข้าถึง Trello board ได้ง่าย จากหลากหลายอุปกรณ์ ความผิดพลาดจากการสื่อสารมีน้อยลง การทำงานก็มีประสิทธิภาพขึ้นมาก จึงอยากชวนเชิญทุกท่านลองนำมาใช้ในทีมของท่านดูครับ จะได้ลบคำสบประมาทที่ว่า คนไทยทำงานเป็นทีมไม่เป็น :)


วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

ดาวโหลดคู่มือเครื่องใช้ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดปัญหาการจัดเก็บ

ปัจจุบันเครื่องใช้ต่างๆโดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฮเทคซื้อหาได้ง่ายขึ้น เพราะมีราคาถูกลง และมีให้เลือกเป็นจำนวนมาก สิ่งหนึ่งที่มักจะแถมมากับอุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้ก็คือ "คู่มือการใช้งาน" จะมีขนาดใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนในการใช้งานของอุปกรณ์นั้นๆ พอมีจำนวนอุปกรณ์มากขึ้น จำนวนของคู่มือก็เพิ่มขึ้นตาม


โดยปกติเรามักจะไม่ได้อ่านคู่มือเหล่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม เวลามีปัญหาการใช้งานต่างๆ คู่มือการใช้งานเหล่านี้ ก็เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะช่วยให้เราแก้ปัญหาการใช้งานหรือช่วยให้เราได้ทราบถึงวิธีที่ถูกต้องในการใช้งาน หลายคนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บคู่มือเหล่านั้นไว้ ไม่กล้าทิ้ง เพราะไม่รู้ว่าวันใดจะเจอปัญหาบ้าง แต่จะเก็บไว้ก็เกะกะ เปลืองเนื้อที่ภายในบ้าน
ข่าวดีก็คือ ทุกวันนี้ผู้ผลิตสินค้า มักจะมีข้อมูลในเวบไซต์ และมีคู่มือในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ถ้าหากเราไม่อยากเก็บคู่มือที่เป็นกระดาษให้เกะกะ ก็ให้เราดาวโหลดคู่มือต่างๆที่เป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้ ในปัจจุบัน ก็สามารถเก็บได้หลายวิธีด้วยกัน

  • เริ่มต้นก็คือการดาวโหลดเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
  • หากใครมี iPad หรือ iPhone ก็สามารถเก็บไว้ดูใน iBook ได้
  • สำหรับสาวก andriod ก็สามารถใช้โปรแกรมอ่าน ebook ที่มีแจกฟรีมากมาย
  • และสำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของ kindle ก็สามารถ เก็บไว้ใน Kindle Cloud reader ที่สามารถอ่านใน kindle ของคุณ และเก็บไว้อย่างปลอดภัยบน cloud ของ amazon ที่สามารถเข้าถึงได้ทุกเมื่อ

ถ้าหากคุณไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอ่านในทันที ก็สามารถสำรองไฟล์ไว้บน cloud ที่บริการฟรี(เช่น dropbox ) เพื่อเป็นการประกันว่าคุณจะไม่ต้องกลัวว่าคุณจะทำหาย
นอกจากวิธีที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว คุณผู้อ่าน มีการจัดการ "คู่มือการใช้งาน" กันอย่างไร สามารถแบ่งปันความเห็นกันได้นะครับ


วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

Snap Guide - App สำหรับคนชอบลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง (Do it yourself - DIY ) จะรวมกันเป็นชุมชนอยู่ในไซต์รวบรวมงาน DIY ซึ่งเวบไซต์สำหรับผู้ที่ชอบ DIY ที่ดีๆนั้น มีด้วยกันหลายเวบไซต์ ไม่ว่าจะเป็น Make, Instructable, eHow หรือ Hack a Day

แต่ในวันนี้จะขอแนะนำเวบไซต์ DIY ที่มีมาไม่นาน อายุประมาณ 1 ปี ชื่อว่า Snapguide ซึ่งได้ให้คำจำกัดความไว้ในเวบไซต์ของตัวเอง ดังนี้


Snapguide คืออะไร?
Snapguide เป็นฟรี iOS app และบริการเว็บสำหรับผู้ที่ต้องการที่จะสร้างและแบ่งปันขั้นตอนวิธีการทำสิ่งต่างๆ เป็นขั้นเป็นตอน การบริการถูกออกแบบให้ง่ายต่อการเข้าใจสำหรับหลากหลายหัวข้อ ที่รวมไปถึงการปรุงอาหาร, การทำสวน, งานฝีมือ, ซ่อมแซมโครงการที่ทำด้วยตัวเอง, เคล็ดลับแฟชั่น บันเทิงและอื่น ๆ
ผู้ใช้บริการจะได้รับเชิญให้สร้างคู่มือของตนเองโดยใช้ iPhone หรือ iPad App เก็บภาพและวิดีโอของโครงการของคุณ เพิ่มคำอธิบายภาพและแบ่งปันคำแนะนำของคุณกับชุมชน Snapguide "


สำหรับ Snapguide จะเป็นเนื้อหาที่สมาชิกของเวบไซต์นำมาโพสแสดงให้เห็นถึงขึ้นตอนการทำสิ่งต่างๆ มากมายหลายหัวข้อ  ซึ่งในเวบไซต์แบ่งประเภทเนื้อหาไว้ถึง 17 หัวข้อด้วยกัน
  1. ศิลปะและหัตถกรรม
  2. ยานยนต์
  3. ความงาม
  4. ขนม
  5. เครื่องดื่ม
  6. อาหาร
  7. เกมส์และเคล็ดลับ
  8. สวน
  9. บ้าน
  10. วิถีการดำเนินชีวิต (life style)
  11. เพลงและดนตรี
  12. กลางแจ้ง
  13. สัตว์เลี้ยง
  14. การถ่ายภาพ
  15. กีฬาและการออกกำลังกาย
  16. แฟชั่น
  17. เทคโนโลยี
เนื้อหาภายใน snapguide ก็มีทั้งการสร้างและทำสิ่งต่างๆ (DIY) รวมไปถึงวิธีการทำสิ่งต่างๆ (how to)
จุดเด่นของ snapguide ก็คือ ความง่ายในการทำความเข้าใจ เพราะมีภาพรวมถึงคำบรรยายที่ชัดเจน โดยผู้ที่สนใจสามารถดาวโหลดได้ที่ Apple App Store โดยมีให้ดาวโหลดเฉพาะอุปกรณ์ iOS (iPhone, iPod, iPad, iPad mini )เท่านั้น

 ตัวอย่างหน้าจอ Snapguide

 หน้า topic หรือหัวข้อต่างๆ

หน้าเนื้อหา รูปใหญ่ชัดเจน มีคำบรรยายด้านล่าง ดูเข้าใจง่าย


Download free from App Store




วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

การใช้ kindle อ่านข่าว จาก RSS Feed

หลังการประกาศปิดตัวของ Google Reader นักอ่านข่าวทั้งหลาย ก็จำเป็นที่จะต้องหาเครื่องมือช่วยอ่านข่าวตัวใหม่ ซึ่งก็มีให้เลือกกันมากมาย และวันนี้ เราก็จะมาแนะนำ อีก 1 เครื่องมือ ที่จะช่วยให้คุณติดตามข่าวสารได้อย่างไม่่ตกเทรนด์
สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของ Amazon Kindle คงจะถูกใจคุณสมบัตินึงใน kindle ก็คือ e-ink ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านจากกระดาษ หลายคนอาจะใช้ Tablet ในการอ่านข่าว  แต่การอ่านข่าวบน Tablet ที่มีแสงสว่างจากหน้าจอ ก็อาจทำให้สายตาต้องทำงานหนักต่อเนื่อง เพราะหลายคนอาจจะอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์มาทั้งวัน มาอ่านบนอุปกรณ์ที่มีแสงสว่างจ้า ก็ทำให้สายตาล้าได้ แต่ kindle ก็ถูกออกแบบมาไว้ให้อ่านหนังสือเป็นหลัก ไม่ใช่ข่าว
แต่ปัญหานี้จะหมดไป เมื่อมีบริการส่ง feed เข้าเครื่อง kindle ของเรา และที่สำคัญ ฟรี!
เรามาดูกันเลย ว่าทำได้อย่างไร?

1. เข้าไปที่เวบไซต์ เพื่อทำการสมัครสมาชิกก่อน
      http://www.kindlefeeder.com/users/new

2. เมื่อสมัครสมาชิกเสร็จแล้ว ให้ทำการ login ที่เวบไซต์ amazon เพื่อเข้าหน้า manage your kindle

3. ให้ทำการเพิ่ม email  "feeds@kindlefeeder.com" เข้าไปในส่วนของ Approved Personal Document E-mail List ดังภาพ



4. Login เวบไซต์ kindlefeeder และทำการ add/manage feed

5. เมื่อเลือก Feed ที่ต้องการได้แล้ว ก็ให้ไปที่หน้า dashboard และทำการ click email address ใต้หัวข้อ Queue new delivery (โดย default จะเป็น xxx@kindle.com)


6. รอสักครู่ เพื่อให้ kindlefeeder ส่งไฟล์ไปยัง kindle ของท่าน โดยระหว่างนี้ kindle ต้องต่อ wifi เพื่อให้ kindle ทำการ sync ข้อมูลจาก server

7. สามารถอ่านข่าว ได้บนเครื่อง kindle ของคุณ :) ภาษาไทยก็อ่านได้สบาย


บริการฟรีจากทาง kindlefeeder มีข้อจำกัดคือ สามารถ subscribe ได้ 12 feed และต้อง manual ส่ง feed เองจากเวบ
ทางเวบมีบริการแบบ premium subscription ที่จะ schedule ส่ง feed ได้ แต่ ณ.วันนี้ (28 Mar 2013) ทางเวบได้ประกาศไม่รับสมาชิกพรีเมียมใหม่ชั่วคราว

เท่าที่ได้ทดลองใช้บริการจาก KindleFeeder ทำให้ได้ติดตามข่าวสารมากขึ้น เพราะการอ่านข่าวจาก kindle สบายตากว่า Tablet, Computer หรือ SmartPhone ทำให้อ่านข่าวต่อวันได้มากขึ้น User Interface ก็ใช้งานได้สะดวก มีข้อเสียเล็กน้อยคือไม่สะดวกตรงที่ต้อง manual ส่ง feed ด้วยตัวเอง
แต่โดยรวม ก็นับว่าเป็นบริการที่ดีมากบริการนึง




วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

มีไอเดีย แต่ไม่มีเงินทุน?

นับตั้งแต่ internet กำเนิดขึ้นมา อัตราการเกิดนวัตกรรมใหม่ๆก็เกิดขึ้นเร็วมาก ถ้าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีคนมาบอกว่า อีกหน่อยโทรศัพท์มือถือ ขนาดเท่าฝ่ามือจะทำได้สารพัดอย่าง ไม่ว่าจะถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอความคมชัดสูง เล่นเกมส์ ท่องอินเตอร์เน็ทได้ บันทึกข้อมูล ฯลฯ คุณก็อาจจะหัวเราะเยาะว่าคนนั้นอาจจะเป็นบ้า แต่วันนี้ สิ่งเหล่านั้น เกิดขึ้นและอยู่ในมือคุณแล้ว

เบื้องหลังของนวัตกรรม คือการค้นคว้าวิจัยอย่างจริงจัง ที่ต้องใช้เงินทุนมหาศาล ซึ่งในสมัยก่อนนั้น ก็จะเป็นบริษัทที่มีเงินถุงเงินถังที่กล้าลงทุน คนธรรมดาอย่างเราๆ แม้จะมีไอเดียเลิศเลอแค่ไหน ก็ยากที่จะทำให้เป็นจริงได้

แต่แล้วก็เกิดรูปแบบใหม่ของการหาเงินทุนขึ้น ที่เรียกว่า Crowd funding ที่เป็นการรวบรวบเงินจากคนทั่วไปในสังคม ที่สนใจในการลงทุนในไอเดียใหม่ๆ เพื่อให้ไอเดียนั้นเป็นจริง โดยที่ crowd funding platform จะเป็นคนกลางนำผู้มีไอเดียใหม่ๆและผู้สนใจลงทุนมาพบกัน ผู้ที่มีไอเดียก็มีพื้นที่ที่จะนำเสนอความคิด หากมีผู้ให้ความสนใจและชอบในแนวคิด อยากจะให้เกิดผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน ก็สามารถให้การสนับสนุนเงินได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเงินจำนวนมากแต่อย่างใด แค่หลักร้อยหรือหลักพันบาท ก็สามารถให้การสนับสนุนได้แล้ว ถ้าไอเดียไหนน่าสนใจ ก็จะดึงดูดคนมาร่วมลงทุนได้มาก

จริงๆแล้ววิธีการ Crowd funding เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยก่อน internet เช่นในปี 1884 มีการระดมทุน เพื่อสร้างฐานของเทพีเสรีภาพในนิวยอร์ค แต่เมื่อมี internet การสื่อสารไปยังคนหมู่มาก ก็ทำได้ง่าย่ดายขึ้น crowd funding ก็เข้าถึงคนได้มากขึ้น การเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนก็มากขึ้นตาม ส่งผลให้เทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้นแทบทุกวัน

สำหรับผู้ที่มีไอเดีย แต่ไม่มีเงินทุน สามารถนำเสนอไอเดียที่เวบไซต์ crowd funding ได้ ซึ่งวันนี้ มีมาแนะนำ 5 เวบไซต์ด้วยกัน

1. Kickstarter
    มีโครงการนำเสนอมากกว่า 35,000 โครงการ และเงินทุนกว่า 500 ล้านดอลล่าสหรัฐได้ถูกระดมทุนผ่านเวบไซต์นี้ เรียกได้ว่าเป็น crowd funding ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

2. Indiegogo
  เช่นเดียวกับ kickstarter, Indiegogo ก็เป็น crowd funding ยอดนิยมอีกแห่งหนึ่ง

3. Fundable
   ก่อตั้งโดย Wil Schroter

4. Crowdfunder

5. EarlyShare

Crowd Funding นับเป็นนวัตกรรมเพื่อช่วยให้ไอเดียดีๆสามารถเป็นจริงได้ หากคุณมีไอเดียเด็ดๆ นำเสนอไอเดียที่ Crowd Funding วันนี้ ในอนาคต เราอาจได้เห็นไอเดียของคุณอยู่ในทุกๆบ้านก็เป็นได้!